Cherry Picking Trip at "Young"
- Alex in the Wonderland
- Dec 17, 2018
- 2 min read
Updated: Jan 22, 2019
The capital of cherry in Australia

เมืองยัง ตั้งอยู่ห่างจาก Sydney 376 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักเนื่องมาจากเหตุการณ์สำคัญในยุคตื่นทองของออสเตรเลีย ในปี 1860 ในตอนนั้นเกิดการขัดแย้งระหว่างผู้ที่เข้ามาขุดทองเพื่อเสี่ยงโชค และการเหยียดเชื้อชาติ ระหว่างชาวตะวันตก และชาวจีน ซึ่งในยุคนั้นมีการขุดพบ และสร้างเหมืองแร่ทองคำในหลายๆ พื้นที่ของรัฐวิคตอเรีย และนิวเซาร์ทเวล เมืองยังก็เป็นเมืองหนึ่งที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามา เพราะมีการค้นพบแร่ทองคำอยู่ไม่ห่างจากตัวเมือง การต่อต้าน และต่อสู้กันในครั้งนั้น มีชาวจีนถูกทำร้าย และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา นตก และชาวจีน ซึ่งในยุคนั้นมีการขุดพบ และสร้างเหมืองแร่ทองคำในหลายๆ พื้นที่ของรัฐวิคตอเรีย และนิวเซาร์ทเวล เมืองยังก็เป็นเมืองหนึ่งที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามา เพราะมีการค้นพบแร่ทองคำอยู่ไม่ห่างจากตัวเมือง การต่อต้าน และต่อสู้กันในครั้งนั้น มีชาวจีนถูกทำร้าย และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา

สภาพภูมิประเทศของเมือง เป็นที่ราบกว้างตรงกลางรายล้อมด้วยเนินเขาขนาดไม่สูงมาก โดยเมืองมีความสูงขจากระดับน้ำทะเลประมาณ 432 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ สภาพภูมิอากาศก็เหมาะกับการทำการเกษตรอีกด้วย เพราะฉะนั้น เมืองยัง นอกจากจะเป็นที่รู้จักว่าเป็นเมืองแห่งเมืองทองคำแล้ว ผลผลิตทางการเกษตรของที่นี่ยังเป็นที่รู้จักอย่างมากอีกด้วย
ปี 1820 มีการเข้ามาตั้งรกรากของชาวตะวันตกที่เมืองแห่งนี้ ซึ่งเดิมมีชื่อว่า Boorawa ต่อมา เมื่อนาย James White ได้เดินทางมาถึงเมืองนี้ ได้เข้ามาเจรจากับชาวพื้นเมืองเผ่า Wiradjiri ชาวพื้นเมืองของที่นี่ โดยได้ขอแลกดินแดนเพื่อทำการเกษตรกับชาวพื้นเมือง เพื่อแลกกับการให้อาหาร และการจ้างงานในเหมืองเนื่งจาก James มองเห็นว่าคนพื้นเมืองนั้นมีความแข็งแรง เหมาะกับการทำงานในฟาร์มนั่นเอง เมื่อการเจรจาต่อรองสำเร็จโดยที่ไม่ต้องมีการต่อสู้ใดๆ เขาก็ได้เริ่มทำฟาร์มแกะขนาดใหญ่ ในชื่อ Lamping Flat จนทำให้ผู้คนเรียกเมืองแห่งนี้ว่า Lamping Flat นั่นเอง
ปี 1860 มีการค้นพบแร่ทองคำ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเมืองยัง เป็นสาเหตุให้เมืองกลายเป็นที่สนใจและดึงดูดผู้คนมาจากทั่วสารทิศ เดินทางมาที่เมืองแห่งนี้เพื่อเสี่ยงโชคจากการขุดแร่ทองคำนั่นเอง
ปีเดือน มีนาคม 1861 ได้มาการสำรวจ และสร้างเหมืองแร่ทองคำอย่างเป็นทางการ และต่อมาในเดือน พฤษภาคน ปีเดียวกัน ก็ได้มีการนำทองที่ขุดค้นพบออกมาขาย
ปี 1869 ชื่อของเมืองได้ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ตามชื่อ ของนายกเทศมนตรีของรัฐ นิว เซาร์ท เวล คือ Sir John Young และเป็นชื่อเมืองแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน
ส่วนเมืองก็มีการเจริญเติบโดตและขยับขยายอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการมาของผู้คน สภาพบรรยากาศของเมืองในปัจจุบัน อาคารต่างๆ ในเมืองยังคงกลิ่นอายของเมืองในยุครุ่งเรืองของเหมืองทองคำให้เราได้เห็น เพราะอาคารส่วนมากได้ถูกสร้างขึ้นมาในยุคนั้นนั่นเอง

เมืองยังเป็นเมืองที่สามารถผลิต ผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากในแต่ละปี โดยผลผลิตที่ขึ้นชื่อได้แก่ เชอรี่ พีช ผลไม้ตระกลูเบอร์รี่ต่างๆ องุ่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต แอปพิคอต แอปเปิ้ล สตอเบอร์รี่ และ ขนแกะ เป็นต้น
สำหรับฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร จะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึงปลายเดือนเมษายน ส่วนฤดูกาลสำหรับเก็บเกี่ยวเชอร์รี่นั้น จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม จนถึงเดือนมกราคม
เมืองยัง ยังได้รับการยอมรับให้เป็นเมืองหลวงแห่งเชอร์รี่ของประเทศออสเตรเลียอีกด้วย อีกทั้งในทุกปีจะมีการจัดเทศการเชอร์รี่ของเมืองทุกปี โดยจะมีการจัดขบวบพาเรดผลไม้ของเกษตรกร และชาวเมือง มีการออกร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สินค้าแปรรูปต่างๆ มีการจัดการประกวด และแข่งขันผลไม้ต่าง ที่แปลกคือ ที่นี่มีการแข่งขันการพ่นเมล็ดเชอร์รี่ด้วย โดยกติกามีอยู่ว่าใครพ่นได้ไกลที่สุดคนนั้นคือ ผู้ชนะ นอกจากนี้ยังมีทั้งสวนสนุกไว้เอาใจเด็กๆ และผู้ใหญ่หัวใจเด็กอย่างเรา รวมถึงการบริจาคทางการกุศลต่างๆ ด้วย ในวันงาน ถนนสายหลักของเมืองจะถูกปิด เพื่อเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลแห่งนี้ ซึ่งเทศกาลสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว และผู้คนจำนวนมากให้มาเที่ยว และสัมผัสเทศกาลท้องถิ่นของที่นี่
สำหรับนักท่องเทียวที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่ ยังมีสถานที่หลายแห่งให้ได้เยี่ยมชม และสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว โดยที่ที่น่าสนใจ เช่น
· Young railway Station สร้างในปี 1880 เป็นอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ Italian Gothic เป็นทางรถไฟที่วิ่งจาก Young ไป Harden แต่ปัจจุปันทางรถไฟแห่งนี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว ส่วนสถานีรถไฟ ปัจจุบันก็ได้ถูกปรับปรุงให้เป็น Tourist Information หรือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของเมือง ห่างกันไม่มาก จะเป็น อีกหนึ่ง Landmark ของเมือง Young คือ Big Cherry ที่เราเองไม่ควรพลาดไปเช็คอินเมื่อเดินทางมาถึงเมืองยัง
· Emprie Hotel ถูกสร้างขึ้นในปี 1880 เป็นโรงแรมสไตล์คันทรี่
· St.Mary’s Church สร้างในปี 1874 ออกแบบโดยผู้อพยพชาวอิตาเลียน
เมืองยังเป็นเมืองที่อยู่นอกเมือง หากเดินทางมาที่นี่ ส่วนมากร้านค้าต่างๆ วันจันทร์ ถึงศุกร์ จะเปิด 9.00-17.00 ส่วนวันเสาร์ เปิด 9.00-15.00 หรือ 16.00 ส่วนวันอาทิตย์ส่วนมาก จะปิดบริการในวันอาทิตย์ ยกเว้นบางร้านเท่านั้นที่ยังเปิด เช่น KFC McDonalds
สำหรับเชอร์รี่ มีหลายสายพันธ์ ซึ่งก็จะมีช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกันออกไป โดยที่มาของ Cherry Picking tour เริ่มต้นมาจาก ในช่วงปี 1990 สวนต่างๆ มีผลผลิตออกมาจำนวนมาก จนไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทัน เจ้าของสวนเกษตรจึงมีแนวคิดดึงดูดผู้ซื้อ โดยให้สามารถ เข้ามาชม ชิมเชอร์รี่ฟรีๆ แบบไม่อั้น และซื้อเชอรรี่ได้ถึงสวนในราคาพิเศษ ทั้งนี้ เพราะ ทางสวนได้ลดต้นทุนค่าแรงงานเก็บเกี่ยว และค่าขนส่ง ทำให้เราสามารถซื้อเชอร์รี่ได้ในราคาพิเศษ

ส่วนสวนที่เราเดินทางไปในวันนี้ คือ Allambie Orchard สวนนี้เปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม และเก็บเชอร์รี่เพื่อซื้อกลับบ้านใด้ในราคา $7.50 ที่นี่นอกจากเชอรร์รี่อร่อยแล้ว ยังมีคาเฟ่ไว้บริการผู้มาเยือนอีกด้วย ทั้งกาแฟ และเครื่องดื่มหลากหลายไว้รองรับ รวมถึงที่ควรลองชิม คือ พายเชอร์รี่ ของที่ร้าน ถ้ามีโอกาส หรือ ไม่ชิมเชอร์รี่จนอิ่มไปซะก่อนก็ลองชิมดูได้ค่ะ
พอไปถึงที่สวน จะมีเจ้าหน้าที่ของทางสวนมาต้อนรับเรา และอธิบายวิธีการเก็บเชอร์รี่อย่างถูกต้อง หน้าที่ของเราคือ รับฟังอย่างตั้งใจค่ะ
หลังจากนั้น เราจะได้ถังพลาสติกเพื่อใช้สำหรับใส่เชอร์รี่ที่เราเก็บ และมีถุงพลาสติกซ้อนที่ถังอีกชั้น เพื่อความสะอาด ถังหนึ่งใบสามารถบรรจุเชอร์รี่ได้ประมาณ 5-6 กิโลกรัม ฉะนั้นเวลาที่เราเก็บก็สามารถคำนวนคร่าวๆจากสัดส่วนของถังว่าเราเก็บมาได้กี่กิโลแล้ว เมื่อไปเก็บเชอร์รี่ในสวนแต่ละต้นออกผลระยะเวลาไม่เท่ากัน เวลาที่เราเก็บ แนะนำให้เก็บลูกที่มีสีแดงเข้ม เพราะ เป็นลูกที่สุกเต็มที่ และมีรสหวาน กว่าลูกที่เป็นสีแดงสด ที่จะมีรสอมเปรี้ยวนิดๆ เพราะยังสุกไม่เต็มที่ค่ะ

ต่อมา คือ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องไปเก็บเชอร์รี่ สิ่งที่เราควรรู้เมื่อไปเก็บเชอร์รี่ คือ
· เตรียมตัวเองให้พร้อม ครีมกันแดด หมวก แว่นกันแดด และ รองเท้าหุ้มส้น เป็นที่รู้กันดีว่า หน้าร้อนที่นี่ ร้อนแรงขนาดไหน 555
· ไม่ดึง หรือ เขย่า เชอร์รี่จากกิ่ง ให้จับที่ก้าน จากนั้นหมุนการ และใช้มืออีกข้างหนึ่งรองผลเชอร์รี่
· เก็บเฉพาะลูกที่สุก และเราต้องการเท่านั้น
· ไม่ใช้ กรรไกร มีด หรือ อุปกรณ์อื่นๆ ในการเก็บเชอร์รี่
· เก็บเชอร์รี่เท่าที่เราต้องการจะทาน หรือ ซื้อเท่านั้น
· เมื่อได้เชอร์รี่ตามจำนวนที่ต้องการแล้วให้นำมาให้เจ้าหน้าที่ชั่งน้ำหนัก เพื่อคำนวณราคา และจ่ายเงิน เมื่อเราจ่ายเงินเรียนร้อยแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่อีกคน รอแพคใส่กล่องกระดาษให้เรา และให้บอกเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เขียนชื่อที่กล่องด้วย เพื่อป้องกันการสับสน
· ระหว่างเดินทางกลับ ให้พยายามหลีกเลี่ยงจากความร้อน และแสงแดด และเมื่อถึงบ้านให้เก็บไว้ในตู้เย็น ถ้ายังเหลือถึงบ้านโดยที่ไม่ทานหมดระหว่างทางอ่ะนะ 55)
แต่สำหรับใครที่คิดว่าไม่อยากตรากตรำเก็บด้วยตัวเอง ที่สวนยังมีเชอร์รี่ที่เก็บและบรรจุกล่องไว้แล้วจำหน่าย แต่ราคาจะสูงกว่าเชอร์รี่ที่เราเก็บเอง โดยจะมีแบบ กล่องละ 2 กิโลกรัม และ 5 กิโลกรัม

Comments