top of page
Search

Brisbane at first sight part 3

  • Writer: Alex in the Wonderland
    Alex in the Wonderland
  • May 5, 2019
  • 4 min read

Updated: May 14, 2019

ครั้งแรกที่บริสเบน ตอนที่ 3



Day 2 Hotel >> North Quay (Ferry) >> South bank (Ferry) >>Southbank park land >>Wheel of Brisbane>>Nepalese Pagoda >> Street Beach >> The abour >> Marine time museum >> Kangaroo Point>>Goodview bridge >> City Botanic Garden >>QUT Pier(Ferry)>> Eagles St. Pier >> Hotel



ต่อจาก ตอนที่แล้ว วันนี้เป็นทริปวันที่สอง ที่บริสเบน พอตื่นมาก็เริ่มวางแผนสำหรับวันนี้ หลังจากออกจากที่โรงแรมแล้ว เดินมาจนถึงสะพาน Victoria ตอนแรก เพื่อที่จะข้ามไปที่ South bank ตอนแรกสาวเองตั้งใจว่าจะเดินข้ามสะพาน สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเลือกนั่งเรือเฟอรรี่ข้ามไปฝั่ง South bank แทน จากปลายสะพานฝั่งเมืองเดินลงไปถนนเส้นล่างริมฝั่งแม่น้ำ จะเป็นท่าเรือ North Quay เดินลงไปรอเรือที่นั่นได้สักพักเรือก็มาเทียบท่ารับผู้โดยสารแล้ว



สำหรับเรือข้ามฟากเรียกว่า CityCat เราสามารถใช้บัตร Gocard ได้ โดยที่ก่อนขึ้นเรือก็แตะบัตรบนเรือตรงทางขึ้น แล้วพอลงเรือก็แตะบัตรลง ก่อนขึ้นฝั่งค่ะ เวลาเรือแต่ละรอบสามารถดูได้ที่ท่าเรือ หรือ internet ก็ได้นะคะ เรือที่ข้ามฟากจาก ฝั่งเมืองไป Southbank เร็วมาก แค่แบบนาทีเดียวเองมั้ง ถ่ายรูปยังไม่ทันไร ก็ถึงแล้ว 55555



ขี้นมาที่ฝั่ง Southbank รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแตกต่างจากฝั่งเมืองเป็นอย่างมาก เพราะ เมื่อขึ้นฝั่งก็รู้สึกร่มเย็นและลดชื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ปกคลุม ตลอดทางเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ที่ฝั่งใต้นั้น มีความสำคัญสำหรับเมืองบริสเบนอยู่ไม่น้อย เป็นที่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาตร์ เดิมเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองเผ่า Turrbal และ Yuggera ต่อมากระทั้งในปี 1840 ชาวยุโรปได้เดินทางมาตั้งรกรากที่บริเวณฝั่งใต้ของแม่น้ำบริสเบน จนที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของเมืองอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ต่อมาได้เกิดน้ำท่วมฉับพลันจนทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณฝั่งใต้นี้ อพยพไปอยู่ที่บริเวณ North Quay ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำบริสเบนแทน ซึ่งก็คือ บริเวณที่เป็น Brisbane CBD ในปัจจุบันนั่นเอง



· South bank ในปี 1930 พื้นที่ฝั่งใต้ถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้งให้กลายเป็นท่าเรือ และแหล่งอุตสาหกรรม ทำให้เกิดเป็นแหล่งค้าขาย และที่อยู่อาศัยกระจัดกระจายอยู่รอบๆ แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตก็เป็นไปอย่างช้าๆ จนในปี 1984 South Bank ได้ถูกเลือกให้เป็นพื้นที่ในการจัดงาน World EXPO88 ซึ่งงานนี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับ South bank เลยก็ว่าได้ค่ะ


ในระหว่างระยะเวลาที่จัดงานกว่า 6 เดือน มีผู้คนเดินทางมาเยี่ยมชมงานกว่า 18 ล้านคน โดยบันทึกจากสมุดเยี่ยมชม ทำให้บริสเบนกลายเป็นที่รู้จักจากผู้คนทั่วทุกมุมโลกมากขึ้น และเมื่องาน World Expo สิ้นสุด South bank จึงถูกเก็บรักษา และปรับพื้นที่บางส่วน ให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ได้รับการอนุมัติงบประมาณในการปรับปรุงพื้นที่ในปี 1987 และ South bank Parklands จึงได้ถูกเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1992 เป็นพื้นที่ที่ประกอบไปด้วยสวนสาธารณะ พลาซ่า คาเฟ่ และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งด้วยกัน รวมถึง Queensland Cultural Centre ถูกสร้างขึ้นที่ South Bank ด้วย โดย Queensland Cultural Centre ประกอบไปด้วย Queensland Art Gallery , Queensland Museum, Queensland Performance Art Centre และ Queensland Modern Art



แลนค์มาร์คของบริสเบนที่ถือว่า พลาดไม่ได้ ต้องมาถ่ายรูปเช็คอินก็อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ พอขึ้นฝั่งมาปุ้บ มองไปทางขวามือก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน คือ The letter ตัวอักษร ชื่อเมืองบริสเบนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งใต้ของแม่น้ำบริสเบน เวลาถ่ายภาพตัวอักษรก็จะเห็นวิวแม่น้ำ และตึกสูงฉียดฟ้าของเมืองบริสเบนเป็นฉากหลัง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับใครหลายๆ คนเมื่อพูดถึงเมืองบริสเบน



· The letters ตัวอักษรชื่อเมือง Brisbane ที่มีความสูงขนาด 3 เมตร และยาวกว่า 25 เมตร ถูกออกแบบโดยนักเรียนออกแบบของมหาวิทยาวัย QUT ชื่อ Aaron Couples เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง G20 Cultural Celebration คือ การที่เมืองบริสเบนเมีผู้คนจากกลุ่มเชื้อชาติต่างๆ มาอาศัยอยู่อย่างหลากหลายถึง 20 กลุ่มด้วยกันในปี 2014 เดิมทีทางการตั้งใจจะจัดแสดงเพียงแค่ 4 สัปดาห์เท่านั้น แต่เนื่องจาก the letters ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก จึงได้รับการปรับปรุงและออกแบบโครงสร้างใหม่ให้มั่นคง และได้รับการปรับปรุงให้สามารถอยู่ที่ South bank ได้อย่างถาวร ในปี 2015

ตัวอักษรแต่ละตัวก็ได้รับการออกแบบตกแต่งจากสมาคมกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในควีนส์แลนด์ค่ะ และไอเดียในการตกแต่งตัวอักษรแต่ละตัว ก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไปด้วนนะคะ


o B ตัวแรก คือ Bright หรือ หมายถึงความสว่างไสว ของเมืองบริสเบน มีการประดับตกแต่งตัวบีตัวแรกให้มีความระยิบระยับ


o R มีความหมายถึง Resident มีความหมายถึงการช่วยเหลือเยาวชนที่ไร้บ้าน ประมาณนี้


o I เป็นรูปแท่งเทียน สีเหลือง อิสระ ความเท่าเทียม และ เสรีภาพ


o S มีความหมายถึงคำว่า Sovereignty และ Saying Sorry หมายถึง ต้องการแสดงความเสียใจ และกล่าวคำขอโทษต่อชาวอะบอริจิน ต่อการเข้ามาครอบครอบดินแดนที่เคยเป็นของพวกเค้ามาก่อน ซึ่งบนตัวอักษรจะมีรูปชาวอะบอริจิน และผลงานศิลปะแบบชาวท้องถิ่นอยู่บนตัวอักษร S ด้วย


o B อีกตัว มีความหมายถึง เมือง Brisbane ตรงๆ เลย คือ มองจากตัวอักษร จะเป็นลายเส้นสีฟ้า แสดงถึงตัวแม่น้ำบริสเบน มีสะพานข้ามแม่น้ำบริสเบน และแทกป้ายสีเหลืองๆ บนพื้นสีเชียว คือชื่อของชุมชนที่ตั้งอยู่ในเมืองบริสเบน


o A ถูกออกแบบเพื่อส่งเสริม และสนับสนุน พหุวัฒนธรรม หรือสังคมที่มีความหลายหลายของผู้คนที่อาศัยอยู่ใน Brisbane ที่เดินทางจากทุกมุมโลกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองบริสเบนแห่งนี้ ภาพบนตัว A จะแสดงถึง แลนด์มาร์คต่างๆ ในเมืองบริสเบน


o N เป็นการออกแบบที่แสดงให้เห็นว่า เด็กๆ ชอบอะไรในเมืองบริสเบน เพื่อให้เห็นว่าเมืองนี้ ให้ความสำคัญกับเด็กๆ และเยาวชน เพราะมีสถานที่มากมายให้เด็กๆ ได้ออกมาทำกิจกรรม หรือเรียนรู้


o E ออกแบบโดยสมาคมสตรี เลยทำให้บนตัว E มีรูปหน้าผู้หญิงขนาดใหญ่อยู่บนนั้น แล้วก็มีคำที่ขึ้นต้นด้วย E ที่มีความหมายดีๆ เช่น Education, Engaging, Enriching, Empowering และ Encouraging เป็นต้น

The Letters ออกแบบให้สามารถปีนได้ และสามารถข้ามจากตัวอักษรหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งได้ด้วย รวมถึงตรงพื้นด้านล่างตัวอักษรได้มีการติดตั้งพื้นฟองน้ำกันกระแทกเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการตกลงมาจากตัวอักษรด้านบน ทำให้นอกจากจะเป็นจุดถ่ายภาพเมืองแล้ว the letters กลายเป็นเหมืองของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็กๆ และผู้มาเยือนนั่นเอง สวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดหมายปลายทางของผู้มาเยือนเมืองบริสแบนเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับคนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ที่นี่อีกด้วย


วันนี้เป็นเช้าวันอากาศดี ผู้คนจึงเดินทางมาที่ Parkland เป็นจำนวนมาก และแน่นอนแลนด์มาร์ที่ตั้งใจจะเก็บภาพสวยๆ แบบที่เห็นในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน 555 พยายามรอเก็บภาพแบบปราศจากผู้คน แต่ก็รออยู่นานสุดท้ายเลยล้มเลิก ไปต่อไม่รอแระ ....


เดินเลาะริมน้ำต่อไป ก็จะเห็นเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ สีเขียวครึ้ม ดูสดชื่น อาคารนี้ คือ Nepalese Pagoda


· Nepalese Pagoda ถูกสร้างไว้ตั้งแต่งาน World Expo 88 และถูกย้ายมาที่ South bank แห่งนี้ เป็นสิ่งปลูกสร้างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จากงาน World Expo 88 จนถึงปัจจุบัน


ในปี 1986 ถือได้ว่าเป็นปีแห่ง The United Nations International of Peace และเนปาลก็ได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมงาน Expo ในครั้งนั้นด้วย และสมาคมวัฒนธรรมแห่งเอเชียได้สนับสนุนในการออกแบบอาคาร ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน ชื่อ Jochen Reier ไม้จากป่า Terai jungles ในประเทศเนปาลกว่า 80 ตันถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเจดีย์โดยอาศัยแรงงานท้องถิ่นถึง 160 คน ในการสร้างสรรค์ผลงานทางหัตถกรรมที่มีคุณค่า ใช้เวลากว่า 2 ปีกว่าส่วนประกอบต่างๆ ของตัวอาคารจะเสร็จสมบูรณ์ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นที่เมืองกาฎมัณฑุ ประเทศเนปาล และหลังจากนั้นจึงถูกบรรจุลงเรือและส่งมาประกอบขึ้นเป็นอาคารที่งาน Expo ซึ่งใช้เวลาในการประกอบเพียงแค่ไม่กี่วันก็เสร็จ อาคารมีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกันค่ะ มีศาลาน้ำชาเล็กๆ อยู่ที่ชั้น 2 ในช่วง Expo 88 ได้รับความนิยมจากผู้เยี่ยวชมเป็นอย่างมาก และมีผู้เข้ามาชมเจดีย์แห่งนี้กว่า 70000 คนด้วยกันค่ะ



เจดีย์แห่งนี้เป็นพียง 1 ใน 3 เจดีย์ที่ตั้งอยู่นอกประเทศเนปาล โดยอีก 2 ที่นั้นตั้งอยู่ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน และอีกที่คือ โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะเกือบจะใกล้เคียงกับวัด Pashupatinath ในกาฏมัณฑุ โดยมีลักษณะตามความเชื่อแบบผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธ และฮินดู คือ มีความเชื่อเรื่องการอวตารของพระศิวะ และ สร้างขึ้นเพื่อสักการะพระอวโลกิเตรศวร มีธรรมจักรกัปปวัตนสูตร การนั่งสมาธิวิปัสสนาแบบพุทธศานา เป็นต้น


หลังจากขอพรเรียบร้อยแล้ว จุดหมายต่อไป คือ ชิงช้าที่เห็นเด่นตระหง่านตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของบริสเบนที่สาวตั้งใจจะมาเยือน เดินจาก Nepalese Pagoda แค่ไม่กี่นาทีก็มาถึงแล้วค่ะ



Wheel of Brisbane ชิงช้า สูงขนาด 60 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางฝั่งใต้ ของแม่น้ำบริสเบน เป็นเหมือนสัญลักษณ์ ของเมืองบริสเบนสร้างเสร็จสมบูรณ์ และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2008 เพื่อฉลองคบรอบ 20 ปี การจัดงาน Expo 88 ที่นี่ และครบรอบ 150 ปี รัฐควีนส์แลนด์ (1859-2009)



เปิดให้ขึ้นชม ตั้งแต่เวลา 10 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่ม ทุกวัน โดยค่าขึ้นชม ราคา $15 ใช้เวลาต่อรอบประมาณ 10-12 นาที มีทั้งหมดรวม 42 กระเช้าด้วยกัน 1 ในนั้นเป็นกระเช้าแบบ VIP แต่ละกระเช้าจุได้ 600 กิโลกรัม ระบบการหมุนของกระเช้าควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มีระบบความคุมความสมดุลของน้ำหนัก และไฟสำรองในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินก็ยังสามารถอพยพคนที่อยู่บนชิงช้าลงมาได้ ชิงช้าถูกประดับตกแต่งด้วยหลอดไฟ LED กว่า 65000 หลอดทำให้สว่างไสว สามารถมองเห็นได้ชัดในเวลากลางคืน จนกลายเป็นแลนด์มาร์คที่ไม่ควรพลาดของบริสเบน


ไม่ใกล้ไม่ไกล จากซิงช้าสวรรค์ เราจะสามารถมองเห็นทางเดินอีกทางที่ขนานกันไปกับทางเดินริมฝั่งแม่น้ำ ถนนเส้นนั้นจะมีซุ้มต้นเฟื่องฟ้าที่โค้งเข้าหากัน เรียกว่า The Abour ถนนเส้นนี้เป็นทางเท้ายาวถึง 1 กิโลเมตร สามารถเดินไปจนปลายทางอยู่ที่ Goodview Bridge



ระหว่างทางที่เดินไปเรื่อย ของ The Abour ก็จะผ่านคาเฟ่ และร้านอาหารต่างๆ สำหรับใครก็ตามที่มาผักผ่อนที่นี้ สามารถฝากท้องไว้ได้ ส่วนตัวสาวเอง พอได้กลิ่นอาหารก็ต้องหยุดชะงัก พักการเดินทาง เพิ่มพลังสักมื้อที่นี่ ที่นี่จะมีศูนย์อาหารเราได้เลือก และนั่งทานอาหารได้



สำหรับที่นี่ เป็นพื้นที่แบบเปิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องระวังอย่างนึ่งระหว่างทานอาหาร คือ แขกไม่ได้รับเชิญอย่างน้องนก ตัวใหญ่ปากยาว ที่ดูท่าทางน่าจะคุ้นชินกับคนเป็นอย่างมาก แทบจะไม่กลัวอะไร มีแต่เรานี้แหละที่ทานไประแวงไป ว่าจะเข้ามาแย่งเราเมื่อไหร่ ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาอยู่ใกล้ลิงที่ลพบุรีอ่ะ แต่แค่เปลี่ยนจากลิงเป็นนกแทน 5555 สรุประหว่างที่ทาน ก็ไม่ได้รู้สึกอินกับรสชาต และบรรยากาศสักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่จ้องมองน้องนกไม่ให้เข้าใกล้นั่นเอง พอทานเสร็จก็รีบแผ่นเลยจร้า 555




เดินออกจากศูนย์อาหารกลางแจ้ง ก็มาพบกับบรรยาศสุดคึกคัก ที่ Street Beach หรือ ชายหาดเทียมขนาดใหญ่ที่ทอดตัวยาวตามฝั่งริมแม่น้ำบริสเบน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เพราะฉะนั้นบรรยากาศของชายหาดแห่งนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ ชายหาดจำลองแห่งนี้เป็นเหมือนสะรว่ายน้ำขนาดใหญ ที่เป็นพื้นที่กลางแจงสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองบริสเบนค่ะ


· Street Beach เป็นชายหาดจำลองที่ถูกสร้างขึ้นทอดยาวไปกับริมฝั่งแม่น้ำบริสเบน บนพื้นที่ South bank Parklands บนพื้นที่ 2000 ตารางเมตร โดยใช้ทรายในการสร้างชายหาดจำลองกว่า 4000 ลูกบาศก์เมตร จาก Morton Beach และทุกๆ ปีจะมีการเติมทรายโดยประมาณ 70 ตัน Street Beach ถูกออกแบบโดย Desmand Brooks International เริ่มสร้างในเดือน กุมภาพันธ์ 1991 และเสร็จในเดือน มิถุนายน 1992



เดิมหาดแห่งนี้มีชื่อว่า Kodak Beach ตามชื่อผู้สนับสนุน ต่อมาถูกเปลี่ยนผู้สนับสนุนเป็น Street Ice Cream จึงได้เปลี่ยนชื่อ เป็น Street Beach ในเวลาต่อมาและถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน ชายหาดแห่งนี้ ยังมี Lifeguard เหมือนชายหาดธรรมชาติทั่วๆไป ในออสเตรเลียอีกด้วย


เสียดายที่ทริปนี้ไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมา ไม่อย่างนั้นก็คงลงไปเล่นน้ำคลายร้อนไปแระ ชมบรรยากาศได้สักพัก ก็เดินออกมาจาก Street แบบเสียดายเล็กน้อย แล้วกลับมาที่ The Abour เพื่อที่จะเดินต่อไปยัง Goodview bridge



ระหว่างเดินสองข้างทางก็จะมา ร้านอาหารและคาเฟ่เป็นระยะๆ นี่คือถ้าไม่หิวจัดจนรีบทานที่ฟู้ดคอร์ทมาก่อน คงได้ฟากท้องที่นี่เป็นแน่แท้ ไม่ต้องหวาดระแวงกับน้องนกด้วย 5555



บรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำบริสเบนนี่ดีไม่ใชน้อย เลยคิดว่ายังไงก็ขอื่นชมบรรยากาศสักพัก แวะนั่งตรงเก้าอี้ริมน้ำสักหน่อย บรรยากาศตรงนี้ต่างจากที่ Street Beach มาก เงียบสงบ แดดอุ่นๆ นั่งเพลินๆนี่เผลอหลับได้เลย..




นั่งเพลินๆ แต่พอเหลือบดูนาฬิกา คือ อยู่ตรงนี้เกือบชั่วโมงแล้ว พระเจ้า!!!!! แค่นั้งมองต้นไม้ไบหญ้า มองฟ้า มองแม่น้ำ มองเรือนี่ อยู่ได้เป็นชัวโมงเลยเหรอเรา 5555 ว่าแล้วคงต้องไปต่อแล้ว




เดินจากนั้นไม่นาน สุดทางของ The Abour เราจะเห็น เรือขนาดใหญ่หลายลำ จอดอยู่บนบกริมฝั่งแม่น้ำ ที่นี่ คือ Marine time museum ว่าจะเดินเข้าไปเยี่ยมชม แต่ดูเหมือนว่าจะปิด ไม่มีใครอยู่ที่นี่สักคน เลยได้แต่เดินผ่าน แล้วก็เดินอ้อมอาคาร มีขึ้นสะพาน Goodview bridge เลยได้แต่ถ่ายภาพเรือจากมุมด้านบนแค่นั้น แอบเสียดายนิดๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะแดดก็แรงจนจะละลายแระ ข้ามสะพานรีบเดินแบบเร็วมากๆ เพราะร้อน ถ่ายรูปไรๆ พักไว้ก่อนเลย ไม่ไหวแล้ว555555


เดินมาเรื่อยๆ เลาะริมฝั่งแม่น้ำไปก็จะถึงจุดพักผ่อนและชมวิวอีกที่หนึ่งของบริสเบน คือ Kangaroo Point ที่นี่อยู่ห่างจาก Brisbane CBD ในปี 1823 ครั้งนั้น นักสำรวจชื่อ John Oxley ได้อธิบายบริเวณนี้ไว้ว่า บริเวณนี้ เป็นป่าโกงกาง และผาสูงชัน ด้านบนเป็นลานหญ้ากว้างบนหน้าผา พื้นที่แห่งนี้นั้น เป็นคาบสมุทรที่ประกอบไปด้วยชั้นหินอัคนีที่แข็งแกร่ง ดังนั้น หินจากที่นี่ได้ถูกนำไปสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในบริสเบน


ไม่กี่ปีต่อมา ในปี 1825 พื้นที่ถูกแผ้วถางให้เป็นที่สำหรับทำการเกษตร ช่วงแรกๆ ที่ผู้คนอพยพมาอยู่บริเวณนี้ สามารถอยู่ได้อย่างฟรีๆ และได้เริ่มมีการซื่อขายที่ดินเป็นครั้งแรก ก็ในปี 1943 และบ้านหลังแรกที่ทำการปลูกบน Kangaroo point แห่งนี้ คือบ้านของนักสำรวจ ชื่อ James Wanner


ในปี 1844 หลังจากนั้นก็เกิดการพัฒนาที่ดินบริเวณนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มมีการสร้างโบสถ์ และโรงเรียนสำหรับชุมชน


ปี 1887 พื้นที่บางส่วนถูกทดแทน และพัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ส่วนมากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลานั้น ยังคงใช้แม่น้ำ เป็นเส้นทางการคมนาคมหลักของเมืองบริสเบน หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี 1901 กองทัพเรือ ได้ใช้พื้นที่บริเวณ Kangaroo Point เป็นคลังแสงของกองทัพเรื่อยมา สำหรับปัจจุบันก็เป็นจุดที่พักอาศัยประมาณ 7000 คนด้วยกัน พอเดินสำรวจพื้นที่คร่าวๆ ก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม เพื่อที่จะข้ามสะพานกลับไปฝั่งเมืองด้วยสะพาน Goodview Bridge


ข้ามสะพาน Goodview bridge กลับมาทีฝั่ง CBD อีกครั้ง บริเวณนี้เป็นพื้นที่ของ QUT หรือ Queensland University of Technology และติดกับ City Botanic Garden อาคารเก่าแก่ที่มองเห็นตรงปลายสะพาน คือ Old Government House และนอกจากนั้นแล้ว ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ยังเป็นที่ตั้งของ Parliament House อีกด้วย


· Brisbane City Botanic Garden ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบริสเบน เป็น Botanic Garden แห่งแรกของบริสเบน และเป็น Botanic Garden แห่งที่ 2 ของออสเตรเลีย รองจาก Royal Botanic Garden ที่ซิดนี่ย์ เดิมที่พื้นที่นี้เคยถูกใช้เป็นแปลงสวนผักของนักโทษอพยพ แต่ถูกปรับพื้นที่และ ออกแบบสวนใหม่ โดยนักพฤษศาสตร์ ชื่อ Walter Hill ในปี 1855



เดินวนๆ ไปมา ก็มาโพล่ที่ อาคาร Parliament House ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Botanic Garden


· Parliament House สร้าง 1865 ถึง 1868 รูปแบบการก่อสร้างแบบ France Style เอกลักษณ์สำคัญของอาคารแห่งนี้ คือ กระจกสีที่ถูกตกแต่งอยู่ภายในรูป Queen Victoria ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของบริสเบน ในยุคปลายศตวรรษที่ 19 และปัจจุบันก็ยังคงใช้งานในฐานะของอาคารรัฐสภาของบริสเบน



จาก Parliament House เดินจาก Alice Street มาที่ท่าเรือ QUT เพื่อมาลงเรือเฟอรรี่ที่เรียกว่า CityCat อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลงเรือแล้วออกมาอีกทางหนึ่ง เลาะริมฝั่ง City Botanic Gerden ซึ่งสามารถมองเห็นสะพาน Goodview Bridge แบบใกล้ๆ ลอดใต้สะพานกันไปเลย 5555 พอลอดใต้สะพานมาทางด้านซ้ายมือของฝั่งแม่น้ำเรียกว่า Kangaroo Point Cliffs



หลังจากนั้นก็จะไปเที่ยบท่าลงที่ท่าเรือ Eagle St. Pier เพื่อไปทานมื้อเย็นและชมวิวริมน้ำที่นั่นค่ะ นั่งเรือได้แป้บเดียว แป้บเดียวจริงๆ เรือก็มาจอดเทียบท่า Eagle St. Pier



ปลายทางที่ตั้งใจ บรรยากาศร้านอาหารและผู้คนที่นี่ดูแบบ ไม่รีบร้อนเหมือนที่ซิดนี่ย์ เป็นเมืองที่แบบชิลได้อีก มาเที่ยวแค่ 2 วัน เริ่มติดใจบรรยากาศสบายๆ แบบนี้สะแล้ว ว่าแล้วก็เช็คร้านอาหารสำหรับวันนี้เลยดีกว่า เดินวน ถ่ายรูปไป ดูบรรยากาศร้านรวงริมน้ำ รวมถึงเมนูละราคาก็หนักพอดู 555 เดินวนไปค่ะ ราคาคือ มาพร้อมกับรสชาติ รสนิยม และวิวแบบ 5 ดาว ปาดเหงื่อกินกันเลยทีเดียว 555


ในที่สุดก็เลือกร้านได้สมใจ ราคาคือเลิกคิดแระเดินจนขาลากทุกร้านราคาใกล้เคียงกันหมด คือ Main Couse เริ่มต้นที่ $40 ไหนๆ ก็ไหนๆ จัดสักมื้อไปเรย รออะไร ร้านอาหารเป็นร้านสไตล์กรีก ชื่อว่า George’s Paragon http://www.georgesparagon.com/ ตอนเลือกก็ไม่ได้คิดไรมาก แค่เห็นคนแน่นๆ นั่งกันเต็มร้านเช็ครีวิวใน Google เลยคิดไปเองว่า อาหารต้องอร่อยแน่นอน




เมนูที่สั่ง ก็ด้วยความที่เห็นว่าเป็นร้านสไตล์กรีก เลยสั่งเป็นเมนูอาหารพื้นเมืองของกรีซ เรียกว่า Souvlaki ซึ่งเป็นเนื้อแกะเสียบไม้ย่างบาบีคิว ไม้ใหญ่ๆ แน่นๆ 3 ไม้, Pita bread แผ่นแป้งแบนๆ สีขาว นุ่ม หอม ไว้ทานคู่กับ Tzatzaki dip ที่สีส่วนผสมหลักของ โยเกิร์ต เลมอน กระเทียม และอื่นๆ เป็นซอสแบบกรีกทานกับเนื้อแกะนุ่มๆนี่ อร่อยแบบลงตัวนะ ด้านล่างของเนื้อแกะมีข้าวแบบคล้ายๆ ข้าวผัด แต่ผัดกับน้ำมันมะกอกแทน แล้วก็มีกรีกสลัด ที่ขอบอกว่าอร่อยมากทั้งที่ดูแล้วส่วนผสมก็ไม่น่ามีอะไรมาก แต่อร่อย (หรือคิดไปเอง55 มาคนเดียวด้วย ถามความเห็นจากใครก็ไม่ได้)




ที่นี้มากันที่บรรยากาศของร้านกันบ้าง ร้านก็อย่างที่บอกไว้แต่ทีแรกแล้วว่าต้องเข้ามาจองคิวรอ เพราะร้านคนแน่นมาก... แต่ที่ร้านจะมีมุม แบบสั่งเครื่องดื่มรอพลางๆ ที่สามารถชมวิวริมน้ำได้ ระหว่างรอโต๊ะอาหาร



จากร้านสามารถมองเห็น Kangaroo Point และ Story Bridge ได้อย่างชัดเจน สำหรับมื้อนี้ทานเกลี้ยงหมดจาน อิ่มแบบอิ่มมาก รสชาติให้คะแนนเต็ม วิว และบรรยากาศร้านก็ให้คะแนนเต็มเลยแล้วกัน เสียเงินไปแล้วนิ ยังไงก็ต้องบอกว่าดี 5555 ยังไงถ้าใครมีโอกาศมาเยือนบริสเบน ถ้าอยากชมบรรยากาศแบบโรแมนติกริมน้ำ ดินเนอร์แบบพิเศษๆ แนะนำร้านนี้เลยค่ะ นอกจากเมนูเนื้อสุดอร่อยแล้ว เมนูซีฟูดของร้านนี้ก็เป็นที่นิยมด้วยค่ะ



พอจบมื้อเย็น ก็ครบหมดจบโปรแกรมสำหรับวันนี้ มื้อนี้อิ่มจนแน่นท้อง เลยตัดสินใจเดินจากร้านอาหารกลับโรงแรม เพื่อเป็นการย่อยอาหารแล้วชมบรรยากาศเมืองบริสเบนยามค่ำคืนไปด้วย แต่บรรยากาศหลัง 3 ทุ่ม คือ เงียบไปนิด สรุปแทนที่จะได้เดินชิลชมเมือง กลายเป็นเดินจ้ำๆ เพื่อให้ถึงโรงแรมโดยเร็ว ถึงโรงแรม หลับสบาย ฝันถึงโปรแกรมเที่ยววันพรุ่งนี้...



Kommentare


About Me

Hi my name is Alex. I love travelling and cooking (I think Eating is appropriate for me), love to learn the new culture, interest in history and love make the new friends. When I was in Thailand I was freelance tourist guide took the tourist travel around in Thailand and oversea. I would love to share my travel  story on this website.  Now I am base in Sydney Australia.

 

And you can also follow my journey on my Instagram, Facebook and subscribe my channel on YouTube at ‘Alex in the Wonderland channel’.

contact : Iamalexsao@gmail.com

 

Join My Mailing List

© 2023 by Going Places. Proudly created with Wix.com

bottom of page