Brisbane at first sight part 2
- Alex in the Wonderland
- May 3, 2019
- 4 min read
Updated: May 14, 2019
บริสเบนครั้งแรก ตอนที่ 2 "Day 1"

Day 1 Sydney domestic Airport >>Brisbane Domestic airport >> Airtrain (Brisbane airport to Brisbane CBD) >> Central Station >> Anzac Park >> General Post Office(GPO) >> City Hall >> George’s Square >> Queen Square Market >>Mt. Coot tha >> hotel
Day 1 สำหรับวันแรก สาวออกเดินทางจากซิดนี่ย์ ไฟลท์เช้าด้วยสายการบิน Tiger Airline โดยใช้เวลาในการเดินทางจาก ซิดนี่ย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็มาถึงสนามบินบริสเบนค่ะ สำหรับสนามบินที่บริสเบน แบ่งออกเป็น Domestic Airport กับ International Airport ทั้งสองที่นี้ ไม่ได้อยู่ติดกันนะคะ อยู่กันคนละที่เลย แต่เค้าจะมีรถเวียนไว้บริการผู้โดยสารฟรีค่ะ (Brisbane shutter bus คลิ้ก)
รวมถึง ทั้งสองสนามบินยังมีบริการรถเวียนของเอกชนที่ต้องจ่ายเงินด้วย ราคาอยู่ที่ $5 รวมถึงรถไฟด้วย ค่าบริการ $5 เช่นเดียวกันค่ะ

ส่วนสาววันนี้ พอเดินทางมาถึง เลือกใช้บริการรถไฟ ที่นี่จะเรียกว่า Translink เพื่อเดินทางเข้าไปในเมืองบริสเบน เพราะคิดว่าจะน่าจะสะดวกสุดแล้ว สำหรับ การเดินทางมาบริสเบนครั้งแรก และใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน เพียงแค่ 20 นาที ก็ถึง Brisbane CBD แล้วค่ะ
· Brisbane Airport ตั้งอยู่ห่างจากเมืองบริสเบน ประมาณ 13 กิโลมตร เป็นสนามบินที่มีความหนาแน่นเป็นอันดับ 3 ของออสเตรเลีย รองรับเที่ยวบินทั้งภายและต่างประเทศ เปิดให้บริการตั้งแต่ ปี 2531 เพื่อทดแทนสนามบินเดิม และปัจจุบันก็ได้กลายเป็นสนามบินหลักสนามบินหนึ่งของออสเตรเลียด้วย สำหรับสนามบินบริสเบนแห่งนี้ เป็นฐานของสายการบินหลายบริษัท เช่น JetStar Virgin TigerAir Jetgo เป็นต้น

ตัวสนามบินประกอบไปด้วยอาคารผู้โดยสาร 2 อาคารด้วยกัน คือ
o อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคารตั้งอยู่ส่วนกลางของสนามบิน ส่วนอาคารเทียบเครื่องมี 3 อาคารยื่นออกไปจากอาคารหลัก 3 ด้าน
o อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสนามบิน และไม่ติดกับอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เป็นอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยม สูง 4 ชั้น และ มีอาคารเทียบเครื่องยื่นออกไป 2 ข้าง
สนามบินที่นี่บรรยากาศไม่ถึงกับวุ่นวายมากนะคะ พอรับกระเป๋าที่สายพานเรียบร้อย ก็เดินไปที่เค้าเตอร์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อขอรับแผนที่เมืองบริสเบน และสอบถามสถานที่ที่สามารซื้อบัตร Gocard ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้สำหรับ เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ ของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถบัส หรือเรือเฟอร์รี่ค่ะ สำหรับเค้าเตอร์บริการนักท่องเที่ยวที่สนามบินนั้น หาไม่อยากเลยค่ะ อยู่ตรงกลางอาคาร เห็นป้ายตัว I สีฟ้าตัวใหญ่ๆ ก็เดินไปทางนั้นเลยค่ะ

สำหรับบัตร Gocard นั้น เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องเดินไปซื้ออีกที่หนึ่งนะคะ เค้าเตอร์จะอยู่ฝั่งขวามือของอาคาร เป็นเค้าเตอร์ของ Airtrain พอไปถึงก็บอกเค้าไปค่ะว่า ซื้อบัตร Gocard ค่าบัตรที่สาวซื้อมาขั้นต่ำ คือ $30 โดยเป็น ค่าบัตร $10 และอีก $20 เป็นจำนวนเงินที่อยู่ในบัตร เพราะ ค่ารถไปจากสนามบิน เข้าเมืองนั้นจะอยู่ที่ประมาณ $19 ต่อเที่ยวค่ะ

สำหรับสถานีรถไฟเมื่อเดินออกมานอกอาคารผู้โดยสารก็สามารถมองเห็นสถานีรถไฟได้อย่างชัดเจนค่ะ ขึ้นลิฟท์หรือบันไดเลื่อนขึ้นมาที่สถานี แตะบัตรก่อนขึ้นรถไฟ ห้ามลืมเด็ดขาด แล้วก็รอรถไฟมาซึ่งแต่ละเที่ยวก็จะห่างกันประมาณ 15 นาที (ตารางรถไฟเมืองบริสเบน) พอรถไปมาประตูจะไม่เปิดเองอัตโนมัติเหมือนที่ซิดนี่ย์ เราจะต้องกดปุ่มกลมๆ ตรงกลาง ประตูถึงจะเปิดให้นะคะ เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยก็ พร้อมลุยกันเลยคร้า.....


รถไฟของบริสเบน ดูสะอาด และที่นั่งก็จะไม่เหมือนที่ซิดนี่ย์ สายที่สาวขึ้นเป็นสาย Airport Line สถานีต้นทางคือ Domestic Airport station และสถานีปลายทาง คือ Gold Coast ตอนที่อยู่บนรถไฟ พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นวิวของเมืองบริสเบนอยู่ลิบๆ ค่ะ แต่นั่งไปนั่งมา เผลอแป้ปเดียวก็ถึง Brisbane Central Station ซึ่งเป็นสถานีที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริสเบนค่ะ และเป็นสถานีที่สาวต้องลง เพราะโรงแรมที่พักสำหรับทริบนี้ก็อยู่ใจกลางบริสเบน CBD นี่แหละค่ะ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ในบริสเบนส่วนมากก็อยู่บริเวณนี้ เพราะฉะนั้นทำเลโรงแรมที่พักนี่คือถือว่าได้เปรียบสุดๆ ค่ะ

เดินลงรถไฟ ออกมาจากสถานีแบบงงๆ หาทางออกไม่เจอ แต่พอเดินออกมา ภาพที่เห็น คือ อาคารที่มีเสาเรียงกันเป็นวงกลม พอเปิดในแผนที่ จึงรู้ตัวเองว่ามาโผล่อยู่ที่ Anzac Square และอาคารที่เห็นเด่นอยู่ตรงกลางนั้น คือ Anzac memorial ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟนั่นเอง


· Anzac memorial Square เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึง ทหารผ่านศึก ที่สละชีพในสงครามโลก และในทุกเหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1930 บริเวณจุดศูนย์กลางของอาคาร จะมีกระถางคบเพลิงตั้งไว้ โดยมีเปลวไฟที่จะไม่มีวันดับ เป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึง ดวงวิญญาณของทหารผู้เสียสละชีวิตละเหยื่อของสงครามจะถูกจดจำไม่มีวันลืม และในอีกความหมายหนึ่ง คือ ประเทศออสเตรเลีย จะเจริญรุ่งเรือง สว่างไสวไม่มีวันดับเหมือนเปลวเพลิง

จากตรงนั้น หยิบแผนที่ออกมาดูเพราะตัวเองกำลังพยายามทำความเข้าใจกับทิศทางของเมืองอยู่ จริงๆ หลายคนอาจจะบอกว่าก็ใช้ Google Map จะสะดวกกว่ามั้ย แต่บอกว่าด้วยเราเองเป็นมนุษย์ที่เกิดในยุค 80s โตในยุค 90s ยังไงก็ยังชินกับการใช้แผนที่กระดาษ ขีดๆ เขียนๆ หลงๆ กันไป

จาก Anzac square มองไปที่สุดปลายสวนอีกฝั่ง เป็นอาคารเก่าแก่ 2 ชั้น จึงเดินไปใกล้ๆ เห็นตัวอักษรบนอาคารเขียนว่า GPO หรือ Grand Post Office

· GPO หรือ Grand Post Office ตั้งอยู่บนถนน Queen Street ซึ่งถือว่าเป็นถนนเส้นหลัก ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริสเบนค่ะ อาคารที่ทำการไปรษณีย์แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1871 – 1879 สไตล์ Neo classic เป็นอาคารที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกของบริสเบน เดิมทีอาคารเคยเป็นที่พักของนักโทษหญิงมาก่อน แต่ได้ถูกปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นที่ทำการไปรษณีย์ ด้านหน้ามีลานกิจกรรมชื่อ Post Square ที่สามารถมองเห็น Anzac square และ Brisbane Central Station จากสวนนี้

ในเขตใจกลางเมือง หรือ บริสเบน CBD ถนนถูกสร้างขึ้นให้เป็นรูปตารางหมากรุก โดยชื่อของถนนต่างๆ ได้ถูกตั้งตามชื่อของ กษัตริย์ และเชื้อพระวงษ์ โดยถนนที่ตัดจากทิศตะวันออก ไปตะวันตก จะเป็นชื่อของกษัตริย์ และเจ้าชาย ในขณะที่ ถนนที่ตัดจาก เหนือลงใต้นั้น จะเป็นชื่อของราชินี และเจ้าหญิง

จากแผนที่ เดินตรงมาทางใต้ ก็จะเจอกับ Queen St. Mall แต่เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ นำกระเป๋าไปเก็บไว้ที่โรงแรมก่อน ก่อนที่จะตะลอนเที่ยวเป้าหมายต่อไปคร้า

สำหรับโรงแรม ไว้เดี๋ยวรีวิวให้ อีกทีแล้วกันเนอะ
เมื่อออกมาจากโรงแรมแล้ว สถานที่แรกที่ตั้งใจจะไป คือ Brisbane Museum และ City hall tower ที่ตั้งอยู่ใน City hall โดยเดินจาก โรงแรม และ Queen St. เพียงแค่แป้บเดียวเท่านั้นค่ะ จาก Queen St. Mall ให้สังเกต ร้าน Hungry jack ซึ่งหากเราเดินมาจากทางใต้ ซึ่งคือ จากทางแม่น้ำบริสเบน พอถึง Hungry jack ให้เราเดินเลี้ยวซ้าย พอถึงไฟแดงที่จะตรงข้ามถนน ฝั่งตรงข้าม เราจะเห็นเป็นลานกว้าง มีอนุเสาวรีย์ตั้งอยู่ ซึ่งก็คือ รูปปั้นของ King George ส่วนลานกว้างๆ นั้น คือ George Square และอาคารขนาดใหญ่ ที่มีหอนาฬิกาสูงตระหง่านตรงหน้านั้น คือ City Hall



· King George Square ฝั่งตรงข้ามกับ City Hall เป็นร้านอาหาร คาเฟ่ นั่งกินลม ชมบรรยากาศ และผู้คน รวมถึงนั่งฟังเสียงนาฟิกาที่จะดังทุก ๆ 15 นาทีได้ค่ะ

ทุกครั้ง โดยส่วนตัวสาวแล้วเวลาที่เดินทางไปเมืองไหนเป็นครั้งแรก ถ้าเป็นไปได้จะพยายามเข้าไปเยื่ยมชมพิพิธภัณท์เมือง เพื่อศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของเมืองนั้นๆ และเนื่องจากก่อนเริ่มทริป ยังพอมีเวลาได้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นมาว่า ที่ Brisbane Museum และที่ City clock tower เขาเปิดให้เข้าชมฟรี ของชอบเลยทีนี้ ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นจุดหมายแรกที่ตั้งใจจะไปค่ะ

· Brisbane City Hall เป็น City Hall ที่ใหญ่ที่สุด และใช้งบประมาณในการก่อสร้างแพงที่สุดในประเทศออสเตรเลีย ด้วยงบประมาณในการก่อสร้าง 480000 ปอนด์ สร้างขึ้นระหว่างปี 1920 – 1930 เริ่มต้นก่อสร้าง เดือนกรกฎาคม ของปี 1920 และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 มกราคม 1928 และยังคงมีการปรับปรุงต่อเติมเรื่อยมาจนสมบูรณ์ในปี 1930 เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่และยาวนานเกือบที่สุดของออสเตรเลีย จะเป็นรองก็เพียงแค่ สะพานฮาเบอร์ที่ซิดนี่ย์เท่านั้น

มองจากด้านหน้าทางลาน King George Square อาคารตกแต่งด้วยเสาคอริเทียนที่มีความสูงถึง 14 เมตร เรียงรายด้านหน้า มองขึ้นไปจะเป็นหอนาฬิกาสูง 92 เมตรจากพื้นดิน เมื่อเดินเข้าไปในอาคารจะมีบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่


เดินเข้าไปสู่ตัวห้องรับรองขนาดใหญ่รูปวงกลมที่ใช้เป็นที่ประชุม และจัดงานสำคัญต่างๆ ด้านบนของห้องประชุมเป็นหลังคาโดมสังกะสีขนาดใหญ่ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 31 เมตร และถือว่าเป็นหลังคาโดมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลียอีกด้วยค่ะ

เจ้าหน้าที่ของที่นี่บอกว่า รูปแบบของสถาปัตยกรรม และแนวคิดในการออกแบบอาคารแห่งนี้ เรียกว่าเป็น ‘Inter war academic classical’เป็น Classic Style ที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบกรีกและ โรมัน ผสมผสานกันซึ่งเป็นรูปแบบสมัยนิยมในยุคนั้นกว่า 30 ปีที่อาคารแห่งนี้ กลายเป็นอาคารที่มีความสูงที่สุดในบริสเบน คือ ตั้งแต่ปี1930 ถึง 1960 รวมถึงกว่า 60 ปีที่ถูกใช้เป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการ และให้บริการแก่ชาวบริสเบน จนถึงปี 1992 อาคารถูกขึ้นทำเนียบเป็นอาคารประวัติศาสตร์

เมื่อเดินเข้าไปใน City hall จะมีป้ายบอกว่า Brisbane Museum และ City clock tower ให้ขึ้นไปที่ชั้น 3 เดินไปตามป้าย ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 ก็จะเจอเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์

สำหรับใครที่อยากจะเข้าชม พิพิธภัณฑ์สามารถเดินเข้าไปชมได้เลยทางเข้าจะเดินอ้อมไปทางขวามือของเค้าเตอร์ แต่ถ้าหากใครที่อยากจะขึ้นไปบนหอนาฬิกา แนะนำว่าให้แจ้งเจ้าหน้าที่ข้างหน้า แล้วจองคิวรับตั๋วก่อนจะดีกว่า เพราะ หอนาฬิกาเค้าเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ทุกๆ 15 นาที และแต่ละรอบ จะจำกัดจำนวนคนเข้าชม ไม่เกิน 9 ถึง 10 คน แค่นั้น เพราะลิฟท์ที่ใช้ขึ้นไปข้างบน สามารถรับน้ำหนักได้แค่ 600 กิโลกรัมเท่านั้น สาวโชคดี เพราะ ไปคนเดียว เลยรอแค่ 45 นาที พอรับตั๋วแล้ว ก็เดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ด้านในระหว่างที่รอขึ้นชมหอนาฬิกา


· Brisbane Museum เมื่อเดินเข้าไปด้านใน จะเป็นห้องมีภาพ ของ Sir Thomas Brisbane ผู้ริเริ่มให้ประชากรย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ รวมถึงมีวีดีโอแสดงเรื่องราวความเป็นมาของเมืองบริสเบนให้เราได้นั่งชม โดยจะมีหูฟังให้เราได้ฟังบรรยายตรงที่นั่ง ถัดมาอีกหน่อย จะเป็นเรื่องราวของคนพื้นเมือง และความเป็นอยู่ของคนกลุ่มนี้ก่อนการมาถึงของชาวยุโรป

หากเดินถัดไปอีกหนึ่งห้อง ก็จะเป็นสำหรับจัดงานแสดงผลงานต่างๆ ตามวาระ เดินต่อไปจะเป็นห้องสำหรับให้เด็กๆ มาทำกิจกรรม วิ่งเล่น วาดรูป เป็นต้น โดยห้องนี้จะมีกระจกบานใหญ่ ให้เราสามารถมองออกไปเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของหลังคาโดมของอาคารแห่งนี้


พอใกล้รอบที่จะต้องเข้าชม หอนาฬิกา ก็เดินกลับมาที่เค้าเตอร์ด้านหน้า หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มารอรับ และนำเราเดินขึ้นบันได และไปขึ้นลิฟท์ สำหรับ ลิฟท์ที่หอนาฬิกาแห่งนี้ สร้างขึ้นพร้อมๆ กันกับการสร้าง City Hall จึงได้กลายเป็น ลิฟท์แห่งแรก ของออสเตรเลีย

ไกด์เล่าให้ฟังว่า ลิฟท์นี้ยังมีระบบควบคุมเป็นคันโยกแบบในควบคุมการขึ้นลงแบบเก่าอยู่ เพียงแต่ระบบควบคุมความปลอดภัยต่างๆ นั้น ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย และปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมกับการปรับปรุงซ่อมแซม City Hall เมื่อปี 2010- 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งใช้รบประมาณในการปรับปรุงกว่า $215 ล้านดอลล่า (ตอนแรกใจก็แอบคิดว่ะไหวมั้ย แต่พอเจ้าหน้าที่อธิบายให้ฟังก็โล่งออก ปลอดภัยแน่นอน 55555) ตัวลิฟท์ตกแต่งด้วยทองเหลือง เป็นรูปสานๆ เป็นตาราง ด้วยสไตล์ Art Deco ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยม ในยุคนั้น ดูแล้วก็สวยหรูหราไปอีกแบบ

· City clock tower หนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น.ถึง 17.00 น.



สำหรับหอนาฬิกาแห่งนี้ เมื่อครั้งที่ถูกสร้างขึ้น ตัวหอนาฬิกาสูงจากพื้นดิน 92 เมตร และจุดชมวิวอยู่ที่ความสูง 72 เมตร ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนาฬิกาสาธารณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย หน้าปัดนาฬิกามีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 5 เมตร หน้าปัดนาฬิกาประดับด้วย White Opal หอนาฬิกาแห่งนี้ประกอบไปด้วยระฆังทั้งหมด 5 ตัวด้วยกัน โดยเป็นระฆังเล็ก 4 ตัว มีน้ำหนักรวมกันกว่า 3 ตัน ดังทุกๆ 15 นาที อยู่รายล้อมระฆังตัวใหญ่อีก 1 ตัว ที่มีน้ำหนักกว่า 4.3 ตัน ระฆังนี้จะดังทุกๆ 1 ชั่วโมงค่ะ หอคอยแห่งนี้ ยังคยถูกใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ และป้องกันการโจมตีทางอากาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย


พอลิฟท์เปิดออก ด้านนอกเป็นระเบียงทางเดินแคบๆ 4 ด้านที่เดินรอบถึงกัน สามารถมองเห็นเมืองบริสเบนจากมุมสูง แต่ตอนไปถึงก็แอบหวังเล็กๆ นึกว่าจะมีไรเซอร์ไพรส์กว่านี้ เพราะตอนขากลับลงมาก็นึกว่าเค้าจะหยุด แล้วให้ออกไปถ่ายรูปภายในของนาฬิกาบนหอคอยรึก็เปล่า แต่ไม่เป็นไร สรุปคือ ขึ้นลิฟท์ไปด้านบน ถ่ายรูป แล้วก็ลงลิฟท์กลับมา ใช้เวลาประมาณไม่ถึง 10 นาที
พอเที่ยวเสร็จสมใจก็พึ่งรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ออกมาจากซิดนี่ย์เมื่อเช้า เดินย้อนกลับคิดว่าเดี๋ยวจะหาอะไรง่ายๆ เร็วกิน เพราะไม่อยากเสียเวลาเที่ยว กินเสร็จเร็วๆ รัวๆ ก็เดินย่อยเที่ยวต่อทันที


ร้านที่เข้าไปกินข้าวนั้นตั้งอยู่ที่ Queen St. Mall พอกินเสร็จก็เดินจาก Queen St. ลงมาทางใต้ เพื่อที่จะข้ามแม่น้ำบริสเบนไป Southbank โดยระหว่างทางที่เดินไป จะต้องผ่าน Queen Square วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่นี่จะมีตลอดปล่อยของ คือ ใครอยากนำอะไรมาขายก็ขายที่นี่ได้ โดยตลาด จะเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ฝั่งตรงข้ามตลาดเป็นตึกเก่าที่ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นคาสิโน



จากคาสิโนข้ามถนน Geogre St. ไปก็จะสะพาน Victoria Bridge ซึ่งสามารถเดินข้ามไปยังฝั่ง Southbank ได้ และถ้าหากมองไปทางซ้ายมือ ก็จะเห็นเป็นป้ายเรือเฟอรรี่ ที่สามารถข้ามจากฝั่งเมืองไป Southbank จากแผนที่วางไว้คือ วันนี้อยากเดินทางไปจุดชมวิวที่อยู่นอกเมือง เพื่อไปที่ Mt. Coot tha ส่วนวิธีการเดินทางนั้น คือ ขึ้นรถจาก Adelaide Street สาย 471 ไปยัง Mt. Coot tha ได้ค่ะ โดยใช้เส้นทางธรรมชาติ ชื่อว่า Sir Samual Griffith Drive ขึ้นมายังจุดชมวิว

· Mt. Coot tha เป็นจุดชมวิวที่อยู่ห่างจากบริสเบนประมาณ 8 กิโลเมตร ที่ความสูง 287 เมตร เป็นที่ตั้งของ Mt. Coot tha Botanic Garden สวนพฤษศาสตร์แห่งที่ 2 ของเมืองบริสเบน โดยสวนนั้นเปิดบริการให้เข้าฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.30 ในช่วงหน้าร้อน และ 8.00 – 17.00 ในช่วงหน้าหนาวค่ะ รวมทั้งมี Free Guide walk ทุกวัน จันทร์ ถึงเสาร์ ตั้งแต่เวลา 11.00 ถึง 13.00 และสำหรับใครที่ไม่อยากเดินก็มี Free minibus tour ทุกวันจันทร์ ถึง ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.30 ถึง 14.00 ค่ะ

สำหรับ Mt. Coot tha Botanic Garden ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่ Brisbane botanic garden ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบริสเบน โดนน้ำท่วทใหญ่กว่า 8 ครั้ง ในช่วงปี 1870 - 1974 คณะเทศมนตรีจึงตัดสินใจมีมติให้สร้างสวนพฤกษศาสตร์แห่งใหม่ที่นี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง สวนถูกสร้างขึ้นในปี 1970 และถูกเปิดอย่างเป็นทางการปี 1976 พืชพันธ์กว่าสองแสนต้นถูกนำมาปลูกลงพื่นที่แห่งนี้

เดิมทีพื้นที่แห่งนี้ได้ชื่อว่า One Tree Hill เข้าใจกันว่าในขณะนั้น มีต้นยูคาลิปตัสขนาดใหญ่ ยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่บนยอดเขาแห่งนี้เพียงต้นเดียว ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Mt. Coot tha ในปี 1880 โดยคาดว่า Coot tha หรือ Ku Ta เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่า น้ำผึ้ง ดังนั้นชื่อจึงแปลได้ว่า เป็นภูเขาแห่งน้ำผึ้ง เพราะเป็มที่อยู่ของผึ้งป่าจำนวนมากนั่ยเองค่ะ ในช่วงเวลานั้นจุดชมวิวที่ Mt. Coot tha เป็นเพียงแค่เพิงไม้ธรรมดา จนต่อมาในปี 1918 Brisbane City Council เริ่มเข้ามาจัดการดูแลพื้นที่ สร้างร้านค้า คาเฟ่ต่างๆ หลังจากนั้นก็ได้พัฒนาเป็นจุดท้องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง



หลังจากที่ชื่นชมกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่ Mt. Coot tha แล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับเข้าเมืองสะที ท้องเริ่มหิว เดี๋ยวเข้าเมืองคงต้องหาไรกินเป็นเรื่องเป็นราวก่อนกลับเข้าโรงแรม

พอกลับมาถึงด้วยเหตุที่เป็นวันแรก ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน และเป็นวันอาทิตย์กลัวว่าร้านหลายๆ ร้านอาจปิดเร็ว เลยคิดว่ากลับมาที่ Queen St. จะดีกว่า สุดท้ายมาจบที่ร้านอาหารสัญชาติมาเลเซียด้วยเมนูสุดโปรด คือ ข้าวมันไก่ 5555 ทานจนเกลี้ยง

สุดท้ายก็ถึงเวลากลับโรงแรมซะที หมดวันแล้ว พักผ่อนพรุ่งนี้ออกลุยต่อ .....
Comments